วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง
วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
ประวัติของเศรษฐกิจพอเพียง
ที่มาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัสแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517และภายหลังวิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ได้ ทรงเน้นย้ำเป็นแนวทางการแก้ไขเพื่อใหรอดพ้นและสามารถดำรงได้อย่างมั่นคงและ ยั่งยืนภายใต้และโลกาภิวัฒน์
และความเปลี่ยนแปลงต่างๆแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ฉบับที่9( พ.ศ. 2545-2549) และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง''ปรัชญาของความเศรษฐกิจพอเพียง'' เมื่อวันที่22 ต.ค. 2542
ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง
พระราชดำรัส “ใครว่าเราเชยก็ช่างเขา
ขอให้เราพออยู่พอกินและมีไมตรีจิตต่อกัน”
เชย = ไม่โมเดิร์น
พออยู่พอกิน = พอเพียง ไม่จนกันทั่วหน้า
โมเดิร์น หมายถึง เศรษฐกิจกระแสหลักที่สร้างความร่ำรวย
เศรษฐกิจพอเพียง จึงเป็นทั้ง
๑) แนวทาง ที่ไม่ใช่แนวทางสร้างความร่ำรวย แต่เป็นแนวทางแห่งความพอเพียง หรือแนวทางขจัดความยากจน
๒) บอกสภาพว่าหายจนกันทั่วหน้า “พออยู่พอกิน”
๓) ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐกิจแบบตัวใครตัวมันเท่านั้น แต่เป็นสังคมที่มีไมตรีจิตต่อกันด้วย
“เศรษฐกิจพอเพียง” (Sufficiency Economy) เป็น ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนิน ชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดรวมถึงการพัฒนาและบริหารประเทศ ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ ทางสายกลาง คำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ
อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่หลากหลายและไม่ชัดเจน ถึงความหมายและหลักแนวคิดที่แท้จริงของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ดังนั้น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จึงได้จัดทำหนังสือ “เศรษฐกิจพอเพียงคืออะไร” ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่ต้องการจะอธิบายความหมายของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมทั้งกรอบแนวคิดของหลักปรัชญาฯ ที่มุ่งเน้นความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา อันมีคุณลักษณะ ที่สำคัญ คือ สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตลอดจนได้อธิบายคำนิยามของความพอเพียง ที่ประกอบด้วย ความพอประมาณ ความมีเหตุมีผล มีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ภายใต้เงื่อนไขของการตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมที่ต้องอาศัยเงื่อนไขความรู้และเงื่อนไขคุณธรรม
ลักษณะเศรษฐกิจพอเพียงจึงมีความพอเพียง ๕ ดังนี้
(๑) เศรษฐกิจพอเพียง | หายจน พออยู่พอกินถ้วนหน้า |
(๒) สังคมพอเพียง | คิดถึงการอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ตัวใครตัวมัน มีไมตรีจิตต่อกัน เป็นสังคม “รู้รักสามัคคี” ไม่เบียดเบียนและทำร้ายกัน |
(๓) ทรัพยากรธรรมชาติพอเพียง | อนุรักษ์และเพิ่มพูนทรัพยากรธรรมชาติ มีการใช้อย่างเป็นธรรม และยั่งยืน |
(๔) มีปัญญาพอเพียง | ไม่โลภ มีไมตรีจิต พึ่งตนเอง วิริยะ อนุรักษ์ทรัพยากร |
(๕) มีระบบการศึกษาที่สร้างปัญญาพอเพียง (มหาวิชชา) อย่างต่อเนื่อง | ต้องมีระบบการศึกษาที่ป้องกันคนกลับไปตกอยู่ในโมหภูมิอีก การมีแค่มหาวิทยาลัยสอนความรู้ไม่พอ แต่ต้องเป็นมหาวิชชาที่นำคนออกจากโมหภูมิ |
ลักษณะสังคม ๕ ประการ หรือ เบญจลักษณ์ดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นสังคมที่ขจัดความยากจน และมีการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีพระมหาชนกจึงสามารถนำมาเป็นหลักในการทำยุทธศาสตร์ขจัดความยากจนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้
๑. ตัวทำลายเศรษฐกิจพอเพียง
ตัวทำลายเศรษฐกิจพอเพียง คือ ทุนนิยมข้ามชาติที่อาศัยโลภจริตเป็นตัวขับเคลื่อนและใช้อำนาจและเครื่องมือไปบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ เปิดเสรีให้ทุนขนาดใหญ่เข้าไปทำการได้อย่างเสรี ก่อให้เกิดการทำลายเบญจลักษณ์ที่ กล่าวถึงข้างต้น กล่าวคือ
(๑) ทำลายเศรษฐกิจพอเพียง | ช่องว่างทางเศรษฐกิจถ่างกว้างมากขึ้นๆ |
(๒) ทำลายสังคมพอเพียง | สังคมแตกสานซ่านเซ็น ตัวใครตัวมัน ทำร้ายแย่งชิงกัน |
(๓) ทำลายทรัพยากรพอเพียง | ทำลายทรัพยากรเพื่อเปลี่ยนไปเป็นเงิน จะได้ดูดได้ง่าย ๆ |
(๔) ทำลายปัญญาพอเพียง | ทำให้เกิดความโลภ แย่งชิงกันหวังพึ่งพิงต่างชาติ ไม่ใช้ความเพียร อันบริสุทธิ์ หวังรวยทางรัด |
(๕) มีระบบการศึกษาที่ส่งเสริมให้คนทั้งปวงตกอยู่ในโมหภูมิ แหล่งอ้างอิง http://www.pyo.nu.ac.th |
ประโยชน์เศรษฐกิจพอเพียง
ประโยชน์เศรษฐกิจพอเพียง
1. ให้ประชาชนพออยู่พอกินสมควรแก่อัตภาพในระดับที่ประหยัด ไม่อดอยากและเลี้ยงตนเองได้ตามหลักปรัชญาของ “เศรษฐกิจพอเพียง”
2. ในหน้าแล้งมีน้ำน้อย ก็สามารถเอาน้ำที่เก็บไว้ในสระมาปลูกพืชผักต่าง ๆ ที่ใช้น้ำน้อยได้
โดยไม่ต้องเบียดเบียนชลประทาน
3. ในปีที่ฝนตกตามฤดูกาลโดยมีน้ำดีตลอดปีทฤษฎีใหม่น้ำก็สามารถสร้างรายได้ให้ร่ำรวยขึ้นได้
4. ในกรณีที่เกิดอุทกภัยก็สามารถที่จะฟื้นตัวและช่วยตนเองได้ในระดับหนึ่ง โดยทางราชการ
ไม่ต้องช่วยเหลือมากเกินไป อันเป็นการประหยัดงบประมาณด้วย
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ปลูกผัหสวนครัวไว้กินเอง คือ ผักกาด (กะจ้อน) ผมได้สศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ
ผัก(กะจ้อน) ดังนี้
|
วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
สรุป fiel trip
านมาเปิดพิธีการเข้าพักแรมที่ศูนย์ฯ และพี่วิทยากร ก็พาไปเล่นกิจกรรมต่างๆและพอเล่นกิจกรรมเสร็จพี่วิทยากรก็พาไปฝึกระเบียบแถว พอฝึกเสร็จ ก็ไปรับประทานอาหารกลางวันและพี่วิทยากรก็พาไปที่ห้องพักและก็ไปชมวีดีทัสน์ ของศูนย์ฯ ที่อาคารนิทรรศการและก็ไปศึกษาเกี่ยวกับทฎีใหม่และก็ไปโรงเพาะเห็ดและก็ไป ศึกษาเกี่ยวกับปุ๋ย ที่ทำมาจากธรรมชาติและก็ไปที่ห้องพักแล้วก็ไปอาบน้ำและก็ไปเข้านอนพอตื่นมา ก็ไปรับประทานอาหารเช้า และก็ไปดูการปั้นดินแล้วก็ไปฝึกการทำกระดาษสาและก็ไปไถนาและก็ไปเอากระเป๋า ออกจากห้องพักและก็ไป เล่นฐานพอเล่นเสร็จก็ไปอาบน้ำและก็กลับบ้าน